ความแตกต่างของที่นี้ที่ไม่เหมือนที่อื่น มีอะไรบ้างคะ

ต้องบอกว่าหนิงคือผู้โชคดี คือต้องบอกว่าศิวาเทลเนี่ยถ้าย้อนกลับไปจริง ๆ ปีนี้เข้าไปที่ 9 แล้วก็จริง ๆ เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วที่คุณปู่ได้ตั้งใจสร้างโรงแรมขึ้นมาค่ะ มันก็คือจริง ๆ เราโพซิชั่นนิ่งไว้เป็น Business  Hotel ด้วยย่านที่เราอยู่ในย่านใจกลางเมืองเพลินจิตใกล้กับอาคารสำนักงานต่าง ๆ นะคะ แต่ว่าด้วยความที่พอเวลาผ่านไป เราค้นพบลูกค้าที่มาพักกับเราจริง ๆ แล้วก็เป็นลูกค้าที่มาท่องเที่ยวพักผ่อนมากกว่านะคะ ประมาณ 80% ที่จะเป็นลูกค้าที่มาพักผ่อนแล้วก็มองว่าเพราะฉะนั้น branding ของศิวาเทลเนี่ยกับลูกค้าเนี่ยมันไม่ไปแล้ว เราก็มองว่าเราเนี่ยต้องปรับปรุงก็คือในระหว่างที่ทางศิวาเทลปรับปรุง หนิงเองก็ได้เข้ามาดูแล หนิงก็เป็น Gen 3 เพราะว่าศิวาเทลเป็นธุรกิจครอบครัว เป็นโรงแรมแบรนด์ไทยที่บริหารคนไทย 100% นะคะ แล้วก็เราไม่ได้มีสาขาที่อื่น เราก็มีที่นี่ที่เดียว หนิงก็โชคดีได้มีโอกาสไปเข้าโครงการที่สอนโดยพี่หนุ่ยนะคะ ก็เลยได้มีโอกาสได้ไปศึกษาเรื่องการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เนี่ยมาใช้ปรับใช้ในการบริหารโรงแรมมาปรับใช้ในการที่เราทำ branding ของโรงแรมครั้งใหม่นะคะ ต้องเรียกว่าถ้าเมื่อก่อนในเวลาเราทำธุรกิจเราอาจจะมองว่าเราจะสร้างจุดต่าง ๆ แล้วก็หาจุดขายยังไงเนี่ย แต่เราก็ค้นพบว่าเราก็ได้เรียนรู้นะคะ ว่าการสร้างจุดต่างหรือการหาจุดขายสุดท้ายในจุดขายมันก็ยอมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แล้วเราก็จะต้องวิ่งตามตลาดไปเรื่อย ๆ ซึ่งการแข่งขันก็สูงขึ้นทุกวัน แล้วมันก็เกิดความท้อเหมือนกันนะคะ บางทีก็เกิดความท้อและเกิดความเหนื่อย แต่เมื่อเราได้มาศึกษาเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เนี่ย เราได้รู้จักกับคำว่าความยั่งยืน ความพอดี ความพอเพียง เราค้นพบว่าสิ่งที่ค้นพบในวันนี้เรียกว่าเป็นจุดยืนในการทำงาน จุดยืนคือความมุ่งมั่นตั้งใจ ความภาคภูมิใจที่เราตอบครอบครัว ตอบพนักงาน ตอบลูกค้าได้ว่าการมีอยู่ของศิวาเทลนี้มีความหมายอย่างไรนะคะ

 

ก็คือจุดยืนในการทำงานของเราก็เป็นโรงแรมแห่งความสุขอย่างสมดุลและการแบ่งปันอย่างยั่งยืน เรามองว่าโรงแรมอย่างจริง ๆ แล้วสามารถเป็นครูในการนำพาพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืนได้เพราะว่าจริง ๆ แล้ว 4ร. ที่บริโภคเยอะ 4ร. ที่ผลิตขยะเยอะก็คือโรงแรม โรงพยาบาล โรงงาน และโรงเรียน เราในฐานะ 1 ใน 4ร. เนี่ยก็สามารถมีบทบาทตรงนี้ได้ในการที่การบริโภคเยอะแน่นอน เมื่อเราอาจจะเริ่มต้นจากการใช้คิดว่าเราอยากให้ลูกค้าของเรานะที่เข้ามารับบริการในโรงแรมได้ทานอาหารที่ทำจากวัตถุดิบออแกนิค วัตถุดิบปลอดภัย แต่เมื่อเราลงฟามไปดูขั้นตอนการทำงานของเกษตรกรแต่ละคนจริง ๆ แล้วเนี่ย เราเพราะว่ามันรีฟวิ่งแล้วเราก็พบว่าจริง ๆ แล้วการที่โรงแรมเนี่ย ซึ่งเรามีเรคคอร์ดบอกเกษตรกรได้ว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างเราใช้มากแค่ไหน เราใช้เดือนละเท่าไหร่ เราใช้ปีละเท่าไหร่ จะทำให้เกษตรกรซึ่งอยากจะเปลี่ยนมาทำการเกษตรด้วยวิธีอินทรีย์เนี่ยแต่เคยมีคำถามว่าต้นทุนสูงขึ้นแล้วจะไปขายใคร แต่ว่าเราสามารถมาเป็นคำตอบให้เขาว่า ขายเราไง ขายเราสิ เปลี่ยนเถอะเพราะว่าวิถีการทำการเกษตรโดยวิธีอินทรีย์เนี่ยไม่ใช่แค่เพียงแต่จะดีกับผู้บริโภค ดีกับเกษตรกรในแง่ที่เกษตรกรก็จะสามารถเห็นทางสว่างในการที่จะอยู่ได้ปลดหนี้สินได้ไม่เป็นหนี้เป็นสินไม่ต้องขายที่ขายนา

 

นอกจากนั้นแล้วกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ยังช่วยลดสารเคมีที่เจือปนเปื้อนลงไปในดินไอน้ำในอากาศนะคะ ทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กันหมด นั่นคือส่วนที่โรงแรมเนี่ยสามารถจะเป็นคำตอบให้กับเกษตรกรหรือให้เกษตรกรที่มีคำถามหรือมีความลังเลที่จะเปลี่ยนสามารถมีความมั่นใจที่จะเปลี่ยนมาทำเกษตรวิถีอินทรีย์ได้ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมโรงแรม 75 ห้องอย่างเราเคยผลิตขยะสูงถึงเดือนละประมาณ 8,000 กิโลนะคะ ในปี 60 เนื่องจากว่าเราเนี่ยให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมาตลอดเราเริ่มช่างขยะของโรงแรมในปี 2559 พีคสุดคือ 2560 เชื่อว่าในกระบวนการของการเป็น Green Hotel ทุกวันนี้ขยะลดลงมาเหลือขยะเฉลี่ยของโรงแรมในเดือนละประมาณ 4,000 กิโลนะคะ ก็เรียกว่ารถไปได้ 50% ภายในเวลาประมาณปีครึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องบอกว่าเราก็ค้นพบว่าขยะกลุ่มรีไซเคิลซึ่งเราบอกว่ามันใช้เวลาย่อยสลายยาวนาน แล้วก็มันเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว ที่ทุกคนออกมารณรงค์ลดการใช้พลาสติกหรือว่าออกมารณรงค์เรื่องการที่ถ้ามีแล้วก็ทำให้มันได้รับการรีไซเคิลหรือนำไปจัดการต่ออย่างถูกวิธี แต่ถ้าสำหรับเปอร์เซ็นต์ของโรงแรมเนี่ยขยะกลุ่มรีไซเคิลเนี่ยหรือคิดเป็นแค่เพียงสิบกว่าเปอร์เซ็นต์นะคะของขยะโรงแรมในขณะที่จริง ๆ แล้วเนี่ยมากกว่า 50% มันคือขยะเศษอาหาร แล้วก็ขยะที่เราเรียกว่าข้าวหมูของโรงแรมจะเรียกว่าข้าวหมูกับขยะเปียกซึ่งก็คือในกลุ่มเศษอาหารทั้งหมดก็คือต้องบอกว่าหนึ่งในความสำเร็จในการลดขยะของศิวาเทล ก็เพราะเราให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทั้งเรื่องของกลุ่มรีไซเคิล แล้วก็ทั้งเรื่องของขยะเศษอาหารทำควบคู่กันทั้ง 2 อย่างนะคะ มันก็เลยทำให้เราเนี่ยรถขยะลงได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ซึ่งทั้งหมดเนี่ยเรามองว่าโรงแรมเนี่ยประเทศไทยก็คือการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของประเทศที่นำที่นำพาให้เกิดเม็ดเงินเรามีโรงแรมอยู่ทุก ๆ จังหวัดทั่วประเทศ ศิวาเทลแค่อยากจะทำสิ่งที่เราตั้งใจให้สำเร็จเราอยากเป็นแรงบันดาลใจให้โรงแรมที่เป็น SME ไทยโรงแรมอื่นเนี้ยเอาโมเดลเราไปใช้เราเชื่อว่าถ้าหลาย ๆ โรงแรมทำเนี่ยก็จะทำให้ภาคการเกษตรและขับเคลื่อนได้จะทำให้สิ่งแวดล้อมของประเทศไทยดีขึ้น

 

การที่จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เรื่องของคนก็น่าจะเป็นปัจจัยหลัก ๆ เพราะถึงเราจะวางระบบให้ดีขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับคนศิวาเทลก็ได้น้อมนำหลักการทรงงาน 23 ประการของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการทำงานเช่นกัน ข้อที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือการทำงานอย่างมีความสุข นั้นก็จึงกลับมาสอดคล้องกับการเป็นโรงแรมแห่งความสุขอย่างสมดุลและการแบ่งปันอย่างยั่งยืน ความสุขของเราในที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งคือพนักงานของเราต้องมีความสุขเพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็ใช้ตัว Happy workplace นะคะมาเป็นโมเดลในการขับเคลื่อนในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ในการดำเนินงานหลักทั้งหมดของเราเพราะว่าศิวาเทลก็ได้รางวัลเป็นองค์กรต้นแบบนะคะขององค์กรแห่งความสุขของประเทศแล้วเราก็ได้รับรางวัลการบริหารการเปลี่ยนแปลงดีเลิศนะคะจากการเข้าประกวดโครงการ Happy workplace ของสสส.ที่ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ก็ต้องบอกว่าเราทำให้มันง่าย ทำให้มันสนุกแล้วก็ทำให้พนักงานเข้าใจได้ง่าย ๆ ต้องบอกว่าในเรื่องของขยะเราก็มีการจัดทำโครงการธนาคารขยะขึ้นมานะคะ ก็เป็นการที่เราเชิญวิทยากรมาอบรมให้ความรู้กับพนักงานในการที่จะคัดแยกขยะเนี่ยแบบละเอียดให้เขาเห็นขยะเนี่ยเป็นทองคำ เราถึงเลือกคณะโครงการธนาคารขยะทองคำก็เขาก็จะได้เกิดการตื่นรู้ว่ากลุ่มขยะที่เป็นตัวรีไซเคิลเนี่ยที่เขาทิ้งไปทุกวันยังไม่ใส่ใจจริง  ๆแล้วเนี่ยถ้านำมาคัดแยกอย่างถูกวิธีแล้วก็นำมามาขายร่วมกับโรงแรมจริง ๆ แล้วมันกลับเป็นรายได้ครัวเรือนที่กลับไปแล้วก็เป็นกิจกรรมครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เนี่ยไปให้ความรู้กับลูก ๆ ชวนกันคัดแยกขยะที่บ้านหรือบ้านที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งมีอายุเนี่ยก็เป็นกิจกรรมเพิ่มเติมให้คุณพ่อคุณแม่มีกิจกรรมได้ ต้องเรียกว่าทั้งส่งเสริมให้ครอบครัวมีความสุขส่งเสริมเรื่องของการมีรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น แล้วก็กลับมาตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยนะคะ

 

 

แล้วในส่วนของผู้เข้าพัก เขาจะได้รับแรงบัลดาลใจอะไรจากตรงนี้ไหมคะ หรือว่าคนที่เข้ามา เขาเลือกที่นี่เพราะเป็นกรีนหรือว่าเขาได้แรงบัลดาลใจกลับไปคะ

จริง ๆ ในภาคของโรงแรมในส่วนที่สอดคล้องกับลูกค้า มันก็จะมีเรื่องที่ว่าอย่างตอนนี้ศิวาเทลก็ไม่มีขยะไม่มีขวดน้ำพลาสติกที่เมื่อก่อนว่ามีเฮ้าแบรนด์นะคะ ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นขวดแก้วทั้งโรงแรม ทั้งในส่วนประชุมสัมมนา ทั้งในส่วนห้องพัก ซึ่งตรงนี้เนี่ยก็ทำให้โรงแรมเนี่ยสามารถลดขยะที่เป็นกลุ่มขวดน้ำพลาสติกไปได้ถึงปีละประมาณ 120,000 ใบ ก็ส่วนใหญ่จะเป็นส่วนที่ลูกค้ามีส่วนร่วมกับเราหรือแม้แต่เรื่องของอาหารเช้าซึ่งเป็นวัตถุดิบออแกนิค อาหารเช้าของเราเนี่ยเป็นราคาบุฟเฟ่ต์นะคะ ก็คือตามสั่งคือเราจะมีเมนูให้ลูกค้าก็เลือกสั่งในตัวนั้นจริง ๆ ก็ทำให้เราลด Food Waste ลงเยอะมาก แล้วก็ในตัวเมนูที่เราให้ลูกค้าเลือกอาหารที่หน้าปก เราก็จะมีให้ข้อมูลว่าวัตถุดิบที่ใช้เนี่ยไม่ว่าจะเป็นเนย เป็นนม เป็นเนื้อไก่ เนื้อหมูเนี่ยหรือว่าจะผักสลัดเนี่ย ก็คือเป็นวัตถุดิบออแกนิคซึ่งเราซื้อตรงกับเกษตรกร ในเมนูก็จะมีข้อมูลบอกว่าเราซื้อมาจากที่ไหนยังไงให้เขารู้สึกว่า 1 คือมั่นใจแล้วก็ 2 ก็คือได้รู้ได้รู้ว่าโอเคเราซื้อตรงจากเกษตรกรด้วยอะไรเงี้ยค่ะ ต้องเรียกว่ายิงจุดนี้เป็นจุดที่เป็นการบ้านของปีนี้ที่เราจะต้องทำเรื่อง Communication Design ภายในโรงแรมเนี่ยให้เยอะขึ้นเพราะว่าลูกค้าก็จะได้มีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการมีส่วนช่วยตรงนี้ร่วมกันกับเรา จะต้องบอกว่าก็คือในระยะหลังนี้ Review ใน tripadvisor โดยเฉพาะลูกค้าก็เริ่มมี Review ใน tripadvisor นะคะ ว่าเขาสัมผัสได้ว่าศิวาเทลเนี่ยได้มีพัฒนาการขึ้นแล้ว เขาก็ดีใจที่เห็นเรา Move ไปในด้านที่เป็น Green Hotel เพราะว่าอย่างเมื่อก่อนเนี่ยอเมนิตี้ของโรงแรมก็จะเป็นเฮ้าแบรนด์ ซึ่งก็จะอยู่ในขวดเล็ก ๆ อย่างนี้นะคะ ทุกวันนี้เราก็เปลี่ยนไปใช้แบบรีฟิล เราให้ความสำคัญกับตัวสบู่และแชมพูด้วย เราก็เลือกใช้ของเฮาออแกรนิตซึ่งเป็นอเมนิตี้ในกลุ่มที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาตินะคะ ซึ่งก็จะทำให้ลูกค้าเนี่ยไม่ได้รับสารเคมีตกค้างในร่างกายในขณะเดียวกันก็การใช้ขวดรีฟิลก็ทำให้เราเนี่ยลดขยะในกลุ่มที่เป็นขวดอเมนิตี้ไปเนี่ยปีละประมาณ 96,000 ขวดค่ะ ตัวนี้ก็เป็นเรื่องที่เราก็ต้องทำเรื่อง Communication Design บอกให้ลูกค้าได้ตื่นรู้กับเรามากกว่านี้ด้วยแต่เรียกว่าลูกค้าก็สัมผัสตรงนี้ได้แล้ว

 

 

ถ้าอย่างนั้น คนที่เข้ามาแล้วได้ใช้บริการแบบนี้แล้วรู้สึกดีใจใช่ไหมคะ

ต้องบอกว่าอาจจะใช้เวลาที่จะเปลี่ยนไปกับตัวที่เรารีแบรนด์ในปีที่ผ่านมาเมื่อเรียบร้อยแล้วต้องเรียกว่าหลังจากนี้ก็มา Design เรื่อง Communication หน่อยค่ะ หลังจากนี้ต้องบอกลูกค้าให้มากขึ้นว่าข้อมูลแน่นแล้วก็สามารถออกมาพูดคุยกับลูกค้าได้แต่ทุกวันนี้นึกว่าน้อง ๆ เนี่ยก็มีส่วนช่วยเพราะว่าเราก็มีการบอกเล่าให้น้อง ๆ ได้รับทราบว่าโรงแรมทำงานไปในทิศทางไหนแล้วทำอะไรไปแล้วบ้างน้อง ๆ ก็สามารถชวนลูกค้าพูดคุยได้อย่างถ้าเกิดไปในห้องอาหาร น้อง ๆ ก็จะมีการเชิญชวนแล้วก็ยังตอนนี้จะเป็นโปรโมชั่นหมูหลุม น้องก็จะอธิบายเพราะว่าเราได้จัดทำเมนูหมูขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะโปรโมทให้ลูกค้าเนี่ยรู้จักหมูหลุมอารมณ์ดี หมูของพี่สุพจน์ที่ราชบุรี

 

 

ในแต่ละ product มันมีรายละเอียกเยอะมาก กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นชิ้น ๆ ว่าอันนี้มีความยั่งยืนแบบนี้ คุณหนิงอยากจะบอกเล่าตรงนี้อย่างไรคะ

ต้องบอกว่าเมื่อศิวาเทล มันคือจุดยืนในการทำงานน้องบอกว่าตอนนี้ 60 เปอร์เซ็นต์ของวัตถุดิบที่ใช้ในโรงแรมนะคะ ในภาค SME เนี่ย ก็เป็นวัตถุดิบอินทรีย์ละ รอที่จะเปลี่ยน 100% ภายในสิ้นปีนี้ เราก็บอกว่าเมื่อเรายอมมองย้อนกลับไปเนี่ยที่มูลค่าหรือเงินที่มันกลับคืนไปสู่พี่น้องเกษตรกรหรือกลับส่งไปในกลุ่มเพื่อนผู้ประกอบการ SME ที่เป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมานี้ 14 เปอร์เซ็นต์ของรายจ่ายเราคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท คือเป็นเม็ดเงินที่ได้หมุนเวียนกลับไปสู่ชุมชนกลับไปสู่เพื่อน ๆ SME แบรนด์ไทยภายในสิ้นปีนี้เราคาดว่ามูลค่าในจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5 ล้านบาทโดย 30 เปอร์เซ็นต์ของรายจ่ายของเราที่จะกลับไปหมุนเวียนในส่วนนี้นะคะ หนูมองว่ามันเป็นเรื่องดี ๆ ที่เรามองว่าเงินพวกนี้มันเป็นเงินโรงแรมต้องจ่ายอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเราแค่คิดตลอดห่วงโซ่อาหารว่าเงินของเราจะสามารถไปสู่ใครเราก็จะทำให้ชีวิตของใครดีขึ้น จริงก็จะมีเพื่อนเยอะบอกว่าเราจะเริ่มต้นยังไง ไปที่อยู่ในแผนของศิวาเทลก็คือเราจะทำ Business ให้กับเครือข่ายพี่น้องเกษตรกรของเราซึ่งได้ทำงานร่วมกับเรามาก็เรียกว่าบางคนก็ทำกันมา 2 ปีแล้วอย่างพี่อำนาจจากแทนคุณออร์แกนิคฟาร์มนะเพราะทำงานด้วยกันมา 2 ปีแล้วพี่อำนาจผลิตไข่อินทรีย์ให้เรา พี่อำนาจก็ขับเคลื่อนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อยู่ประมาณ 20 ครัวเรือนนะคะ แล้วก็พี่สุพจน์ให้เราเพิ่งเริ่มทำงานด้วยกันมาประมาณปลายปีที่แล้วก็ทุกคนก็มีประสบการณ์ในการที่จะทำงานกับผู้ประกอบการที่เป็น B2B อยู่แล้ว ศิวาเทลก็เข้าใจดีว่าเพื่อนผู้ประกอบการเนี่ยหลาย ๆ คนจะเริ่มต้นก็จะบอกว่าใช้วัตถุดิบออแกรนิกเดี๋ยวต้นทุนมันจะเพิ่มขึ้นแต่ศิวาเทลก็จะบอกว่านี่ไงประสบการณ์ในการที่เราใช้วัตถุดิบออแกนิคเหล่านี้มาเนี่ยร่วม 2 ปีเนี่ย เราอยากบอกว่า Food Court ลดลงนะเมื่อก่อน Food Court รอ 34% ทุกวันนี้ลดเหลือ 29 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่เราเนี่ยใช้วัตถุดิบออแกนิคจะพี่น้องเกษตรกรรายย่อย เราก็มีแพลนที่ต้องเริ่มคุยกับทางเกษตรกรไปบ้างแล้ว บางคนแต่ว่าเดี๋ยวก็มีเพื่อน ๆ ที่เป็นผู้ประกอบการเป็นเจ้าของร้านอาหารหรือว่าตัวกลุ่มโรงแรมขนาดเล็กเองก็ดีที่มีความสนใจที่อยากจะรู้ว่าถ้าเขาเปลี่ยนได้แล้วมันเปลี่ยนไม่ยาก

 

เราก็มีเกษตรกรซึ่งเคยทำงานกับภาคผู้ประกอบการอยู่แล้วเนี่ยเพราะตัวนี้ก็เราก็เป็นแผงว่าเราจะจัด Business matching คืนโดยที่ซื้อมาเที่ยวก็จะมี presentation ให้ว่าประสบการณ์ในการใช้ของเรามาในระยะเวลา 2 ปีเนี่ยเราทำอะไรไปบ้าง เราก็คิดว่าเราจะเปรียบเทียบคุณภาพให้เห็นนะคะเพราะว่าแม้จะเริ่มต้นจากการที่เราคำนึงถึงอาหารปลอดภัยแต่สุดท้ายสิ่งที่หนิงกับทีมงานหรือแม้แต่เชฟเองได้เรียนรู้เนี่ยก็คือวัตถุดิบที่มาจากการผลิตแบบอินทรีย์เนี่ยมันคือคุณลักษณะของวัตถุดิบนั้น ๆ ที่ถูกต้องแต่ที่มันถูกบิดเบือนไปนะคะ จาดการผลิตในระบบอุตสาหกรรม เช่นเนื้อหมู เราจะรู้สึกว่าความคิดคำนึงของเรา คอหมูคือส่วนที่เต็มไปด้วยไขมัน มันเป็นส่วนที่อุดมด้วยไขมันคอหมูแดดเดียวย่าง แต่จะบอกว่าพอมันเป็นคอหมูหลุมอินทรีย์สุทัศน์ปี G เพราะความของพี่สุพจน์มันแทบจะไม่มีไขมันแล้วหนิงก็ได้เรียนรู้ว่าอ้อมที่มันไม่มีไขมันเพราะว่าคอหมูของพี่สุพจน์ไม่เคยโดนเข็มฉีดยา เขาไม่เคยได้รับยาปฏิชีวนะ เขาไม่เคยได้รับสารเคมีเขาเป็นหมูปลอดเข็มคอเขาไม่เคยโดนฉีดยาเพราะฉะจริง ๆ แล้วเนี่ย มันไม่มีไขมันในส่วนของคอหมูหรือว่าแม้แต่หมูกรอบซึ่งตอนนี้ก็หนึ่งในเมนูไฮไลท์ของเราก็คือสปาเก็ตตี้หมูกรอบคั่วพริกเกลือเนี่ยเราก็เอาหมูของพี่สุพจน์มาแล้วก็เซฟทำการอบเองนะคะ เราก็เลยบอกว่าจากความเข้าใจของเราว่าหมูสามชั้นมันคือหมูที่มีไขมันแทรกไปทุกอณูนั่นคือสิ่งที่เราเข้าใจ ปรากฏว่าไม่ใช่เพราะหมูเนี่ยเขาได้เลี้ยงตามวิถีธรรมชาติดั้งเดิมแบบที่ควรจะเป็นเนี่ยเนื้อมันและไขมันกับเนื้อมันแยกเป็น 3 ชั้นอย่างชัดเจนในส่วนที่เป็นเนื้อเขาก็เป็นเนื้อ ส่วนที่เป็นไขมันเขาก็อยู่ส่วนไขมันของเขา นั่นคือสิ่งที่เราเรียนรู้การผลิตแบบระบบอุตสาหกรรมเนี่ยมันทำให้วัตถุดิบเนี่ยมันถูกบิดเบือนจากที่มันควรจะเป็นหรือแม้แต่ส้มยังส้มไบโอของน้องอดุลย์เนี่ยเมื่อปลายปีที่แล้วที่ออกมาเป็นครั้งแรกเนี่ยส้มสายน้ำผึ้ง

 

พอได้ทาน ปรากฏว่าอันนี้มันคือรสชาติอร่อยของส้มที่เราเคยกินตอนเด็ก ๆ แล้วมันก็หายไปจนเราลืมไปแล้วเพราะว่าเราไปคุ้นชินกับการที่เรามีส้มกินตลอดปีที่มันปลูกมาแบบมีสารเคมีแต่ว่ามันก็หวานบ้างไม่หวานบ้างมันก็ฟังบ้างจะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากกินส้ม แต่พอได้กลับไปกินส้มไบโอ ซึ่งเขาปลูกมา บอกอินทรีย์ไม่ได้ใช้สารเคมี นี่ไงมันคือคุณค่าที่ดีงามของวัตถุดิบที่เลือนหายไปกับกาลเวลาที่หลาย ๆ คนกลายเป็นว่าสิ่งที่จำได้มันคือสิ่งที่ผิดเพี้ยนด้วยซ้ำไป นี่คือสิ่งที่ศิวาเทลก็อยากจะแชร์กับเพื่อนผู้ประกอบการที่เพราะว่าศิวาเทลเองทุก ๆ ครั้งก่อนที่เราจะเป็นวัตถุดิบใด ๆ หนิงจะให้ทีมทั้งหมดเรามาศึกษาร่วมกันเรามาดูร่วมกันอย่างหมูหลุมของพี่สุพจน์เนี่ย เราก็สั่งล็อตที่เป็นตัวทดลองเข้ามา มาเปรียบเทียบกับหมูดั้งเดิมที่เราใช้ลักษณะก่อนที่จะ Cooking ดูไขมันกับเนื้อแดงเลยอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ Test คือทีมเขาจะว่าพูดเองว่ามันคือความแตกต่างที่เราเห็นได้ชัดมันไม่ใช่แค่ความปลอดภัยแต่มันคือความดีงาม มันคือความอร่อย ทุกคนบอกว่ามากินข้าวที่ศิวาเทลแล้วก็อร่อย จะบอกว่าก็วัตถุดิบมันดีมันทำอะไรมันก็อร่อย มันไม่ใช่แค่ปลอดภัยกับมันคือความอร่อยตามธรรมชาติเพียงแต่ว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะกินแบบเคารพธรรมชาติเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไม่แคร์เลยดูกันกินแต่คิดถึงแต่ตัวเองได้กินแต่มันทำลายล้างธรรมชาติไปเท่าไหร่มันเป็นความสุขที่แบ่งปันได้เพราะว่าสิ่งที่ศิวาเทลอยากจะเห็นผู้คน คือเราอยากเห็นทุกคนมีความสุข เราก็ตระหนักถึงศักยภาพของตัวเองในการส่งต่อความสุขหรอกนั้นแต่ยังชุมชน ไปยังสิ่งแวดล้อม ไปยังคนรอบตัว