ได้เวลายกแก๊งไปเที่ยวด้วยจิตสำนึกที่ดี เปลี่ยนคำว่า “นักท่องเที่ยว” สู่การเป็น “นักเดินทางหัวใจสีเขียว” และนี่คือ 5 ทริปสุขใจ ที่นอกจากจะเปิดโลกใหม่ ๆ แล้ว ยังได้แสดงออกถึงความรักต่อโลกอีกด้วย
1. ท่องซาฟารีเมืองไทยหาชอช้างตัวใหญ่ที่กุยบุรี
พี่ช้างใหญ่ใจดีได้รับพระเมตตาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทาน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” นับแต่นั้นอุทยานแห่งชาติกุยบุรีก็มีผู้เห็นคุณค่ามากขึ้น ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองนอก ตามไปท่องซาฟารีกันได้ที่กุยบุรี ฝูงช้างป่าไม่น้อยกว่า 250 ตัวรอเราอยู่ รวมถึงยังมีโอกาสได้ปะหน้าเจ้าวัวแดง กระทิง เลียงผา เก้งหม้อ เก้ง เสือโคร่ง เสือดาว หมีควาย ค่างแว่น และชะนีน้อย ฯลฯ ด้วยความสมบูรณ์นี่ล่ะ ที่นี่จึงเป็นถิ่นกำเนิดไม้จันทร์หอม ไม้หอมในพระราชพิธีสำคัญ ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรีเตรียมทริปแบบ 1 วันและ 2 วัน 1 คืนให้เลือกพร้อมพ่วงกิจกรรมท้องถิ่นเสริมความรู้สร้างประสบการณ์ เช่น ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จิบชาใบหม่อน ลองทำผลิตภัณฑ์จากใบสับปะรด นวัตกรรมที่สามารถพลิกสู่เส้นทางแฟชั่นระดับโลก เวลาออกไปส่องสัตว์ก็อยากให้เคารพกฎเชื่อฟังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เราอยากให้คุณมีส่วนในการรักษาช้างป่ากุยบุรี ให้เป็นสมบัติชาติคงอยู่คู่เมืองไทยไปตลอดกาล สมกับเป็นพระราชดำริของพ่อหลวงของชาวไทย
ติดต่อ : ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี โทร. 085-266-1601 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์ โทร. 081-776-2410
2. เซฟพะยูนไทยไปปลูกหญ้าทะเลที่บ่อหินฟาร์มสเตย์
โอกาสเที่ยวทะเลใสๆ แถมยังได้ช่วยปลูกหญ้าทะเลเพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและเป็นแหล่งอาหารให้พะยูนไทย โฮมสเตย์ 3 หลังตั้งอยู่ติดทะเลท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าชายเลน กระเพาะทำงานหนัก(แต่อิ่ม)มากเพราะด้านหน้าเป็นกระชังปลา เสร็จแล้วพาไปล่องเรือหัวโทงท่องทะเลและชมพระอาทิตย์ตกที่ “หาดเก็บตะวัน” สัมผัสบ่อน้ำร้อนกลางป่า และ ชมการแสดง “ลิเกป่า” ศิลปะการแสดงพื้นบ้านหาชมยาก จุดดีงามคือการทำสปาโคลน ชวนให้จินตนาการไปว่าอยู่เดดซี มีความเป็นบ่อน้ำเค็มร้อนกลางทะเลอ่าวสิเกา อุณหภูมิประมาณ 45 องศา นำมาพอกหน้าพอกตัว ผิวเด้งเหมือนเด็กอายุสิบสี่ ก่อนกลับซื้อของฝากปลาเค็มกางมุ้งที่ทำจาก “ปลาสีเสียด” ไม่ใส่สารกันบูด รสชาติหรอยเลิศ สวยสนุก อร่อยแรง และรักโลกในทริปเดียว
ติดต่อ : เลขที่ 145/1 หมู่ที่ 2 ต.บ่อหิน อ.สิเกา จ.ตรัง จากท่าอากาศยานตรังใช้เวลาเดินทางมาตำบลบ่อหินประมาณ 40 นาที โทร.081-892-7440 คุณบรรจง นฤพรเมธี (ประธานกลุ่มโฮมสเตย์บ้านพรุจูด)
3. เกษตรอินทรีย์สืบทอดวิถีชาวนาไทย
ใครจะรู้ว่า สุโขทัยมีดีตั้งแต่ลงเครื่องในสนามบิน สนุกกับโครงการเกษตรอินทรีย์บนพื้นที่ทั้งหมด 1,000 ไร่ แบ่งบางส่วนมาทำเป็นพื้นที่ของโครงการ เพลิดเพลินกับการเรียนรู้การทำนาไทย มีทั้งกิจกรรมแบบวันเดย์ทริป รวมถึงห้องพัก “บ้านท้องนา” สำหรับผู้ต้องการค้างคืน มีทุกอย่างครบครันไม่ต่างกับโรงแรม รวมถึงมินิบาร์ที่สามารถรับประทานได้ทุกอย่างโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น น้ำมะม่วง น้ำใบข้าว ฯลฯ บริการจักรยานและฟรีไวไฟให้ใช้ตลอด แล้วเปลี่ยนชุดเป็นชาวนาใส่ผ้าม่อฮ่อม รองเท้าแตะ สวมงอบ เพลินกับกิจกรรมในไร่ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยานไปเก็บไข่เป็ด ชมสวนสัตว์ ทำนา ดำนา เรียนรู้การตำข้าวและโม่ข้าวแบบโบราณนานมา ไข่เป็ดที่เก็บไว้จะถูกนำไปเจียวในมื้อกลางวัน อิ่มท้องต่อที่ “ครัวสุโข” นอกจากจะช่วยรักษาวิถีเกษตรไทยแล้ว ยังแทรกคุณค่าของข้าวแต่ละเม็ดที่กว่าจะผลิตออกมาให้เราได้กินกันนั้นมันไม่ง่ายเลย
ติดต่อ : สนามบินสุโขทัย อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ห้องพักราคา : 3,500 และ 5,000 บาท โทร. 055-647-290 หรือ www.facebook.com/บ้านท้องนาสนามบินสุโขทัย www.kaohomsukhothai.in.th
4. ปล่อยเต่าปล่อยใจต้องไปเกาะทะลุ
เห็นท้องทะเลสวยใสได้ก็เพราะมีต้นกำเนิดโครงการฟื้นฟูทะเลไทยที่เริ่มไว้เมื่อพ.ศ. 2525 กรมประมงเริ่มทดลองโครงการจัดการทรัพยากรประมงโดยชุมชนที่อ่าวบางสะพานเป็นแห่งแรกของประเทศ ทำให้ปัจจุบันเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของอ่าวไทย เกาะทะลุจัด “กิจกรรมอนุรักษ์ท้องทะเลไทย อนุรักษ์เต่ากระต่ากระ หรือ เต่าปากเหยี่ยว (Hawksbill sea turtle)” ผ่านมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม ปัจจุบันสามารถปล่อยเต่ากระคืนสู่ท้องทะเลอ่าวไทยได้กว่า 4,000 ตัว! เมื่อเต่ากระอยู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์และเป็น 1 ใน 4 ชนิดของเต่าทะเลที่พบได้ในน่านน้ำไทยเท่านั้น รู้แบบนี้แล้ว ยิ่งต้องร่วมใจช่วยพิทักษ์เพื่อนร่วมโลกตัวน้อย ๆ นี้ให้อยู่คู่ทะเลไทยไปแสนนาน
ติดต่อ : เกาะทะลุ ไอส์แลนด์ รีสอร์ท 111/1 หมู่ 10 ต.บางสะพาน อ.บางสะพานน้อย ประจวบคีรีขันธ์ โทร. 089-744-5639 และ(สำนักงานกรุงเทพฯ) โทร. 089-810-3092 http://www.taluisland.com
5. รู้รักษ์สมุนไพรและบ้านไทยในปลายบาง
อยู่ใกล้กรุงเทพฯ แค่ปลายจมูก แต่เป็นชุมชนที่ชวนให้ใจหลงใหลเหลือเกิน เพราะที่นี่มีแต่เรื่องน่าตกหลุมรักทั้งสถาปัตยกรรมโบราณ งานหัตถศิลป์และสมุนไพรที่ทรงคุณค่าให้ได้ศึกษา อาทิ การทำพวงมะโหตรแบบพื้นบ้าน ที่ใช้ห้อยระย้าตามงานบวชงานบุญ ศึกษาบ้านตระกูลช่าง 100 ปี ทรงปั้นหยา สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 4 ทำจากไม้สักทองทั้งหลังสร้างโดยเจ้าของบ้าน “คุณตาสิน ช่างชุน” จุดเด่นคือช่องลมแกะสลักเป็นรูปนักษัตรตามปีที่เกิดของลูกชาย พาไปชิมอาหารไทยหากินยาก อาทิ แกงบอน แกงโบราณต่าง ๆ รวมถึงขนมไทยที่สวนลัดดาวัลย์ เลือกหาผลิตภัณฑ์จากผึ้งชันโรง นวดแผนไทยริมน้ำ แวะสวนสมุนไพรเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รัชกาลที่ 9 เรียนรู้สมุนไพรไทยเทศกว่า 300 ชนิด
ชุมชนกำลังสำรวจเส้นทางปั่นจักรยานชมวัดร้างโบราณอันทรงคุณค่าอีกหลายแห่ง ใครที่เคยมาแล้วมีกิจกรรมใหม่ ๆให้ทำตลอดรวมถึงเมนูที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลไม่จำเจอย่างแน่นอน
ติดต่อ : กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์และวัฒนธรรม วิถีชุมชนคนปลายบาง ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ขึ้นเรือที่ท่าเรือกำนันเชาว์ โทร. 085-147-4741 https://www.facebook.com/BangKruai2Go/
One Day Trip เริ่มตั้งแต่ 9.30 – 16.00 น.(วันอังคาร – ศุกร์) และ 9.30 – 17.00น.(เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ราคา 399 บาท